Support
OverStock
66816235868
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2014-02-02 22:48:18.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >   บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร

 

บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร

 
 
บุหรี่ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ชนิดหนึ่งที่ใช้ทดแทนการสูบบุหรี่จริง โดยบุหรี่ไฟฟ้านั้นจะให้ความรู้สึกคล้ายการสูบบุหรี่จริงมาก
 
บุหรี่ไฟฟ้านั้นจะไม่มีสารพิษอันตรายที่อยู่ในบุหรี่ทั่วไปเช่น ทาร์ คาร์บอนมอนออกไซด์ แอมโมเนีย น้ำมันดิน สารหนู บิวเทน เอมโมเนีย 
 
ไซยาไนด์ และอื่นๆอีกมากมายกว่า 4000 ชนิด แต่จะมีเพียงแค่ นิโคติน ที่ผู้ที่ติดบุหรี่ต้องการสารนี้เป็นหลัก และ โพรไพลีนไกลคอลเท่านั้น
 
ซึ่งปริมาณนิโคตินนั้นผู้สูบสามารถควบคุมได้ โดยจะมีทั้งหมด 4 ระดับ ตั้งแต่ High Medium Low จนถึง None ซึ่งไม่มีนิโคตินเลย 
 
หลักการทำงานของบุหรี่ไฟฟ้า
 
เมื่อมีการสูบเข้าไปนั้นชุดไมโครชิพจะทำการคำนวนแรงดันแล้วสั่งการให้ Atomizer นั้นทำการสร้างควันจำลองขึ้นมาโดยการทำปฏิกิริยา
 
กับโพรไพลีนไกลคอลซึ่งอยู่ใน Cartridge ให้ผู้สูบนั้นได้ความรู้สึกเหมือนกับการสูบบุหรี่จริง แต่ว่าควันที่ได้นั้นไม่ได้มาจากการเผาไหม้
 
เหมือนบุหรี่จริง ควันที่ว่านั้นคือหมอกไอน้ำที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาของโพรไพลีนไกลคอล ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้บุหรี่ไฟฟ้าไม่มีสาร
 
อันตรายต่างๆ ที่มาจากการเผาไหม้นั่นเอง
ควรจะใช้บุหรี่ไฟฟ้ารุ่นใด ถึงจะเหมาะสมกับตัวเอง?
 
หลักๆแล้วจะแบ่งกลุ่มผู้สูบบุหรี่ออกเป็น 3 ระดับครับ คือ
 
1.ผู้ที่สูบน้อย, สูบขำๆยามว่าง หรือสูบเฉพาะตอนเที่ยว ประมาณไม่เกินครึ่งซองต่อวัน
ตอบ เลือกใช้แบตเตอรี่ที่มีความจุ 180-650mAh ก็พอครับ

2.ผู้ที่สูบเป็นประจำแต่ไม่ถี่ ประมาณ 1-2 ซองต่อวัน
ตอบ แนะนำว่าความจุของแบตเตอรี่จะต้องความจุ 1100mAh ขึ้นไป หรือ ชุด Full Set(แบตเตอรี่และอะตอม 2 ชุด)

3.ผู้ที่สูบจัด ตั้งแต่ 2 ซองขึ้นไปต่อวัน
ตอบ ชุด Full Set(แบตเตอรี่และอะตอม 2 ชุด) ก็อาจไม่เพียงพอ แนะนำว่าใช้แบต mod ขนาดใหญ่ไปเลยจะดีกว่าครับ เลือกตัวที่มีความจุตั้งแต่ 2200 mah ขึ้นไปก็น่าจะเพียงพอ

guest

Post : 2013-12-04 09:52:45.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ผลกระทบจาก บุหรี่ไฟฟ้า ที่ถกเถียงกันมากที่สุด

 เมื่อเร็วๆนี้ทางผู้เขียน ก็ได้หาข้อมูลต่างๆนาๆ เกี่ยวกับโทษของ บุหรี่ไฟฟ้า จึงได้ข้อสรุปภาพรวมทั้งหมดว่า กฏหมายในประเทศไทยยังไม่ยอมรับข้อดีของ บุหรี่ไฟฟ้า โดยอ้างพระราชบัญญัติในข้อต่างๆดังนี้

  • พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2535 มาตรา 10 เรื่องห้ามผลิตนำเข้า เพื่อขายหรือเพื่อจ่ายแจกเป็นการทั่วไป หรือโฆษณาสินค้าอื่นใด ที่มีรูปลักษณะที่ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นสิ่งเลียนแบบผลิตภัณฑ์ยาสูบ ประเภทบุหรี่ซิการ์แรตหรือบุหรี่ซิการ์ มีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท
  • พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 12 ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต ขาย หรือนำ หรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งยาแผนปัจจุบัน เว้นได้แต่ได้รับอนุญาต ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท และมาตรา 72 ห้ามมิให้ผู้ใดผลิตขาย หรือนำเข้า หรือสั่งนำเข้ายาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยามาในราชอาณาจักร ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท
  • พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ผู้ใดนำหรือพาของที่ยังมิได้เสียค่าภาษีหรือของต้องจำกัดหรือของต้องห้าม หรือที่ยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักรสยาม ความผิดครั้งหนึ่งจะมีโทษปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาของ ซึ่งได้รวมค่าอากรขาเข้าด้วยแล้ว หรือจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือทั้งปรับทั้งจำ ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขได้ทำหนังสือถึงกรมศุลกากร เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบบุหรี่ไฟฟ้า ตามชายแดนทั่วประเทศ

ในข้อที่ 1 ว่าด้วยการห้ามเลียนแบบผลิตภัณฑ์ยาสูบ (อันนี้ไม่น่าเอามาอ้างอิงเลย)
ในข้อที่ 2 ข้อนี้ก็ไม่ให้นำเข้า เพราะไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา (แล้วทำไมไม่ให้ขึ้น ก็ขายแต่ผู้ที่ติดบุหรี่ และต้องการเลิกจริงๆสิ)
ในข้อที่ 3 จะปรับเพราะไม่ได้เสียภาษี (ถ้างั้นก็ทำให้เสียภาษีได้สิ จะได้ไม่ต้องมีการลักลอบนำเข้า)

บุหรี่

และในส่วนของผลกระทบของ บุหรี่ไฟฟ้า ที่ชัดเจนแล้ว ส่วนประกอบสำคัญก็คือ สารนิโคติน ที่ผู้ติดบุหรี่ ต้องการสารนี้เป็นหลัก ส่วนสัดส่วนของปริมาณสารนี้ ก็ได้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้

  • ระดับ High ซึ่งมีสารนิโคตินต่อ 1 ขวด 16mg.
  • ระดับ Medium ซึ่งมีสารนิโคตินต่อ 1 ขวด 11mg.
  • ระดับ Low มีสารนิโคตินต่อ 1 ขวด 6mg.
  • ระดับ ​None มีสารนิโคตินต่อ 1 ขวด 0mg.

ซึ่งผู้สูบ บุหรี่ไฟฟ้า เองก็สามารถเลือกระดับของนิโคตินได้ตามต้องการ ซึ่งวิธีการลดก็ให้สูบไล่จากระดับ High มาก่อน และจากนั้นค่อยๆลดระดับของนิโคตินลง และในส่วนที่ว่ากันว่า บุหรี่ไฟฟ้า มีสารนิโคตินสูงเทียบเท่าเฮโลอีน โดยมีการเขียนสรุปให้ดูน่ากลัวว่า ( หากสูบบุหรี่ไฟฟ้า 1 มวน จะเท่ากับสูบบุหรี่ทั่วไปถึง 15 มวน ) แต่คุณรู้ไหมสำหรับคนที่สูบบุหรี่จริงประมาณวันละ 2 ซอง แต่ถ้ามาสูบบุหรี่ไฟฟ้า เทียบกับ 1 หลอดน้ำยา สามารถสูบได้ทั้งวัน แล้วจะอันตรายกว่าบุหรี่ตรงไหน หากมาเทียบตามสัดส่วนกันจริงๆ บุหรี่ ซึ่งมีสารอันตรายถึง 4000 ชนิด แต่สำหรับ บุหรี่ไฟฟ้า มีสารอันตรายแค่ชนิดเดียว

ต่อไปก็มาดูกระแสของผู้สูบทั้งหลายที่มีต่อความคิดเห็นทั้งหมดนี้ ว่าเขาจะออกความคิดเห็นว่าอย่างไรบ้าง ลองมาดูกันเลยดีกว่า

ความคิดเห็นของคุณ sodanum

ใน Cartridges ซึ่งเป็นที่เก็บนิโคติน ซึ่งเป็นสารเสพติดและสารเคมีที่เป็นอันตราย สามารถรั่วออกมาทางรอยต่อของอุปกรณ์บุหรี่ ทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดได้รับอันตรายจากควันบุหรี่มือสอง”

- อันนี้อ่านแล้ว ฮา จริงๆ

“ในบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีการกำจัดสารพิษที่เหมาะสม เช่น ใน Cartridges ที่บรรจุนิโคตินผสมอยู่กับน้ำ เมื่อใช้แล้วก็ย่อมมีการปนเปื้อนของนิโคติน เมื่อนำไปทิ้งก็จะเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม”

- นั้น..โทษว่าตูทำลายสิ่งแวดล้อมอีก… ถ้าบอกว่าทิ้งแบตเก่า ยังจะน่าฟังกว่า…

ความคิดเห็นของคุณ Evildruid

กระทรวงสาธารณสุขของไทยได้ประกาศ มาตรการห้ามนำบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาจำหน่ายในประเทศโดยใช้กฎหมาย 3 ฉบับ

** กฎหมายทั้ง 3 ฉบับ เป็นมาตรการทางภาษีล้วน ๆ

งานวิจัยของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่รับทุนจาก Tobacco-Related Disease Research Program (TRDRP) เพียว ทอลบอต ผู้อำนวยการของ UC Riverside’s Stem Cell Center กล่าวว่า นักวิจัยได้ศึกษาบุหรี่ไฟฟ้า 5 ยี่ห้อ ผลการวิจัยระบุว่า ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีความปลอดภัย และยังมีแนวโน้มความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค และงานวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารควบคุมยาสูบ “Tobacco Control

**บุหรี่เป็นที่ยอมรับและพิสูจน์ได้ว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ตราบใดที่รัฐยังต้องการรายได้จากภาษียาสูบเรื่องอื่นเป็นเรื่องรอง

** มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ไปรณรงค์หาทางป้องกันคนที่ยังไม่ติดบุหรี่ไม่ให้เข้ามาในวังวนแบบนี้ดีกว่าไหม

ความคิดเห็นของคุณ RimYom

โอ๊ยยยยยยยยยย~ จะบ้าตาย
หาข้ออ้างข้างๆคูๆ มาว่าเรา
ไอ่คนเขียนก็มั่วได้ใจ สงสัยชอบดูดหญ้ามากกว่า!!!!-
ต้องจับคนเขียนลองสูบไอน้ำซักเดือนเนาะ แล้วมาเขียน
คงกำกวมหน้าดู 5555+

ความคิดเห็นของคุณ น้าปา เซมเบ้

อย่ามาพูดให้ยากกกกส์์…ถ้าแน่จริง..และจริงใจ..”ปิดโรงงานยาสูบให้ดูก่อน”..แล้วค่อยมาพูดกันอีกทีนะเฟ้ยยยยยย ตรูจาสูบ บุหรี่ไฟฟ้า ซื้อน้ำยา ไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ความคิดเห็นของคุณ RimYom

วันนี้ เพื่อนเสียงแข็งใส่ผม บอกว่า “เห้ยยย !! มันอันตรายกว่าบุหรี่จริงอีกน๊ะเว๊ย เราอ่านมาแล้ว” เอ่อ  ผมก็หัวเราะ แล้วก็เงียบไป คิดในใจ “มรึงอ่านบทความในนี้มาช่ายมั้ย 5555+” เห้อออ เหนื่อยยยจิต!!

ความคิดเห็นของคุณ arseroj

จริงหรือไม่จริงอย่างไรผมไม่รู้ แต่ที่รู้ๆคือลูกเมียผมไม่บ่นเรื่องกลิ่น  และผมก็รู้สึกตื่นง่าย ตาไม่แสบไม่ออกแดงๆ ส่วนเรื่องที่ทุกประเทศต่างออกประกาศผลของการสูบบุหรี่ไฟฟ้า  เพราะอะไร ก็รู้ๆกันอยู่  ถ้าจริงใจจริงยกเลิกหรือปิดโรงงานยาสูบไปเลยดีกว่าครับ ปล.ผมเพิ่งจะมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าได้ 10 กว่าวันก็จริงแต่ผมก็เหม็นควันบุหรี่จริงซะแล้ว อิอิ

ความคิดเห็นของคุณ rakkeaw

อ่านแล้วมันให้ความรุ้สึก ว่า ผู้เขียนฟังความด้านเดียว หรือ ไม่ได้เปิดใจลองมารับฟัง ประสบการณ์และความคิดเห็นจากผู้ใช้จริงเลย เหมือนว่านั่งเทียนเขียนข่าว มีสื่อในมือแต่เลือกยัดเยียดข้อมูลให้ประชาชนแบบ ด้านเดียว

เอาสถิติ มาอ้างว่า คนติดบุหรี่เลิกยาก โอกาสเลิกน้อย เลิกยาก ( เขาไม่ลองมานับผู้ใช้ไอน้ำบ้างงว่า เลิกได้ไหม ผมคิดว่า เกือบจะ100เปอเซ็น ตอบเสียงเดียวกันว่าได้ และยังทำให้ ร่างกายแข็งแรงกว่า ตอนสูบ ยาสูบจริง ที่ออกวางจำหน่ายกินภาษี ไม่รุ้กี่ร้อยเปอเซ็น ของรัฐบาลซะอีก)

เอาเรื่องกฎหมาย มาอ้างว่าผิด พรบ นำเข้า หรือลอกเลียนยาสูบ นู่นนี่นั่น อ่านตรงนี้แล้วรุ้สึกว่า ผู้เขียนพยายามทำให้บทความนี้มีน้ำหนักให้มากที่สุด โดยการนำอ้างอิงต่างๆมาเสนอ แต่ ทำไมไม่พูดถึงว่า กฎหมายข้อที่ว่ามานั้น มีไว้ทำไม ในเมื่อ บุหรี่จริงมันไม่ดี แต่ท่านยังออกกฎหมายคุ้มครองบุหรี่ และห้ามละเมิด ทำไมท่านไม่โจมตีกฎหมายข้อที่ท่านกล่าวมา และจากบทความของผู้เขียน ยังให้ความรุ้สึกว่า เขาสนับสนุนบุหรี่จริง แล้วจะตั้งเว็บช่วยเลิกบุหรี่เพื่ออะไร

ฝากส่งความเห็นไปยังผู้เกี่ยวข้อง และเจ้าของบทความ รูปหมาป่าในคราบหนังแกะ ควรจะสื่อว่าเป็นใคร ระหว่าง รัฐบาลและเจ้าของบทความ หรือ บุหรี่ไฟฟ้า ถ้าเจ้าของบทความมีเจตนาดี ผมขอน้อมรับ แต่ที่ท่านทำคือ นั่งเทียน ผมเห็นเป็นเช่นนั้น

ถ้าคิดจะเป็นสื่อ อย่างน้อยมีจิตสำนึกในการนำเสนอ หรือหาความจริงให้ได้มากที่สุด ลองลงมาคลุกคลีกับกลุ่มคนที่เห็นด้วยกับไอน้ำ ดูบ้าง ถามเขาสิว่าทำไมเขาถึงหันมาใช้ไอน้ำ ไม่ใช่นั่งหน้าคอมเป็นเจ้าพ่อ เซิจเอ็นจิ้น แล้วนำข่าวมาเสนอ ผมบอกจริงๆ ห่วยแตก

อ้อ อีกอย่างทิ้งท้าย หลังจากหันหลังให้ยาสูบ มาสวามิภักดิ์ให้ ไอน้ำ ผมแข็งแรงขึ้น ไม่มีกลิ่นตัวและที่สำคัญ ส่งการบ้านได้บ่อยขึ้น ไม่คอหัก คอพับ กว่าจะปลุกได้ก็หมดยาไปหลายขวดเหมือนสมัยก่อน

นี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนหนึ่งของบุหรี่ไฟฟ้า ที่เป็นกระแสมากที่สุด แต่ท้ายที่สุดแล้วผู้ที่เคยลองใช้เกือบ 100% ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า สุภาพดีขึ้น หายใจโล่ง ร่างกายแข็งแรงขึ้น และอื่นๆอีกมากมาย ขอคุณทุกท่านที่เสียสละเวลาอ่าน พบกันอีกบทความหน้า

guest
พรนภัส
- Guest -

Post : 2013-11-03 16:31:14.0     Forum: สอบถาม  >  สั่งซื้อสินค้า

พี่คะ กดสั่งซื้อสินค้าไปแล้ว

มีสินค้าหรือเปล่าคะ?

ต้องโอนเงินที่ ธ. อะไร?

จะติดต่อพี่ได้อย่างไรคะ?

ช่วยตอบด้วยนะคะ

guest
บงกช
- Guest -

Post : 2013-05-01 16:05:37.0     Forum: สอบถาม  >  ถามฮาดะสีฟ้ากับขาว

ได้ทั้ง 2 ตัวเลยหรอคะ 

guest

Post : 2012-11-16 22:58:35.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  REVIEW • REVEAL :: ถุงลอกเท้า Revival Care

 REVIEW • REVEAL :: ถุงลอกเท้า Revival Care



เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาเก๋ได้ผลิตภัณฑ์ Revival Care มาทดลองใช้ 
ซึ่ง Revival Care ก็คือผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลอกผิวเท้าที่มีสภาพไม่สวยงาม
เช่น อาการแห้ง ด้าน แตก ให้หลุดออกไปอย่างอ่อนโยน 



ข้อมูลจากข่าวประชาสัมพันธ์

Revival Care ได้ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่ปราถนาเท้าที่มีสุขภาพดีและสวยงาม ด้วยวิธีการดูแลรักษาฝ่าเท้าอย่างง่ายๆด้วยตัวเองที่บ้าน ผลิตขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน คือ การผลัดเซลล์ผิวเท้าส่วนเกินได้อย่าง [ปลอดภัย] [วางใจได้] [อ่อนโยน] และ [รวดเร็ว]

ดังนั้นเราจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะใส่เฉพาะส่วนผสมที่จำเป็นและให้ประสิทธิภาพสูงสุดในการผลัดเซลล์ผิวส่วนเกินได้อย่างแท้จริงเท่านั้น ไม่ใส่ส่วนผสมทางเคมีอื่นๆที่ไม่จำเป็น เช่น สารแต่งกลิ่น สารกันเสีย โดยมีจุดเด่นเมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวเท้ายี่ห้ออื่นๆ ที่มีในจำหน่ายในท้องตลาด

1.รีไวเวิล แคร์ [ปลอดภัย] ไม่มีส่วนผสมของสารอันตรายอย่าง กรดซาลิซิลิก (Salicylic Acid) และสารกันเสีย (O-Cymen–5–OL) ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ยี่ห้ออื่น สารทั้ง 2 ชนิดนี้ ถูกจัดให้เป็นสารอันตรายเนื่องจากเป็นสารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองและความเสียหายแก่ผิวหนังโดยประกาศ ลำดับที่ 332 ของกระทรวงสาธารณสุขแรงงานและสวัสดิการของญี่ปุ่น (Ministry of Health, Labour and Welfare)โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรดซาลิซิลิกนั้น แม้ว่าจะให้ผลในการผลัดเซลล์ผิวเก่า รวมทั้งรักษาหูดและตาปลา แต่ก็มีข้อเสียอย่างมากโดยมักทำให้เกิดการระคายเคือง และการอักเสบของผิว ดังนั้น Revival Care จึงใช้ ยูเรีย (Urea) แทนกรดซาลิซิลิก ยูเรียเป็นสารประกอบชนิดเดียวกับที่มีอยู่ในผิวตามธรรมชาติ ในการผลัดเซลล์ผิวส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพแต่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง อักเสบและอันตรายต่อผิวแต่อย่างใด

2.รีไวเวิล แคร์ [วางใจได้] ไม่มีส่วนผสมของสารกันเสีย เนื่องจากเราได้คัดสรรเฉพาะส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพสูง และผสมด้วยสูตรที่คิดค้นขึ้นเป็นพิเศษ ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวเท้าคุณภาพสูง ที่ปราศจากการสารกันเสียอันเนื่องมาจากการใช้ส่วนผสมที่มากเกินความจำเป็น

3.รีไวเวิล แคร์ [อ่อนโยน] ในการผลัดเซลล์ผิวเท้า ใช้พลังของยูเรีย ซึ่งเป็นสารที่มีความอ่อนโยนเพราะเป็นสารชนิดเดียวกับที่มีอยู่ในผิวตามธรรมชาติ โดยยูเรีย เป็นส่วนประกอบของชั้นเคลือบผิวตามธรรมชาติ (NMF:Natural Moisturizing Factor) ซึ่งทำหน้าที่เก็บกักความชุ่มชื้นไว้ในผิวยูเรีย ยังมีประสิทธิภาพในการขจัดเซลล์ผิวหนังส่วนเกินโดยเข้าไปทำลายโครงสร้างทางเคมีของเซลล์ผิวหนังส่วนเกิน (เคราติน) ทำให้สลายและหลุดลอกออก ดังนั้นยูเรียจึงมีประสิทธิภาพทั้งในการทำให้ผิวชุ่มชื้นโดยการเก็บกักน้ำไว้ในผิว และทำให้ผิวนุ่มลื่นไม่หยาบกร้านโดยการขจัดเซลล์ผิวส่วนเกินอย่างอ่อนโยน ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่โดดเด่นของยูเรียดังกล่าวจึงทำให้ได้รับความนิยมในการนำมาใช้เป็นส่วนผสมในยารักษาโรคผิวหนังและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างแพร่หลายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

4.รีไวเวิล แคร์ [รวดเร็ว] ด้วยประสิทธิภาพของส่วนผสมที่ชื่อ Ammonium Acryloyldimethyltaurate/VP Copolymer ซึ่งมีคุณสมบัติในการแทรกซึมลงผิวอย่างดีเยี่ยมจะนำพาส่วนผสมในการผลัดเซลล์ผิวแทรกซึมไปเกาะติดแน่นกับเซลล์ผิวส่วนเกิน เพื่อทำหน้าที่ลอกออกอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้ใช้เวลาในการสวมทิ้งไว้เท่ากับการนั่งดูรายการโทรทัศน์ 1 รายการเท่านั้น จึงถือว่าใช้เวลาในการแช่เท้าน้อยกว่า ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวเท้ายี่ห้ออื่น



ทีนี้มาดูกันว่าพอได้ลองใช้ Revival Care แล้วได้ผลลัพธ์แบบไหน?




สามารถอ่านข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมได้ที่ เวปไซต์ Revival Care


-NB แต่ละคนมีสภาพผิวต่างกัน เพราะฉะนั้นอาจจะใช้ของแต่ละอย่างแล้วได้ผลที่ต่างกันนะคะ -

 

บทความจาก  http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=ohla&month=17-10-2011&group=4&gblog=151

guest

Post : 2012-11-16 22:53:15.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >   [Deep-Review] Hada Labo : Arbutin Whitening

หลังจากพูดถึงมาแรมปี วันนี้ได้มารีวิว Hada Labo กันอย่างจริง ๆ จัง ๆ สักทีเนอะ แบรนด์นี้เป็นการจับมือกันระหว่างบริษัทMentholatum จากอเมริกา และ Rohto จากญี่ปุ่น เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เน้นคอนเซปต์ถึงความเรียบง่าย อ่อนโยน ไม่มีส่วนผสมที่เกินความจำเป็น และมีประสิทธิภาพ ผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในเอเชียจะผลิตที่จีน ซึ่งยังคงผลิตภายใต้มาตรฐานเดียวกับโรงงานผลิตยาเช่นเคย (แต่ประเทศญี่ปุ่น จะผลิตในประเทศเขาเองนะ) 



ไลน์ผลิตภัณฑ์ที่จะทำการรีวิวในวันนี้คือไลน์ Arbutin Whitening อันประกอบไปด้วยผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 5 ชิ้น (แต่ในไทยมีขายแค่ 4 ในปัจจุบัน) ซึ่งแน่นอนว่าส่วนผสมหลักก็คงจะหนีไม่พ้น Arbutin อันเป็นส่วนผสมของไวท์เทนนิ่งที่คนในบ้านเราคุ้นหูกันเป็นอย่างดี

Arbutin เดิมเป็นสารที่ทางบริษัท Shiseido เป็นผู้พัฒนาขึ้นเอาไว้เมื่อปี 1989 ซึ่งสิทธิบัตรจะมีอายุประมาณ 5 ปี และหลังจากนั้นผู้ผลิตรายอื่นก็สามารถนำสารตัวนี้มาใช้ได้ ความเข้มข้นของ Arbutin ที่แนะนำคือ 5% จ้า



Hada Labo : Arbutin Whitening Face Wash (100g / 289THB)

เริ่มต้นด้วยโฟมล้างหน้ากันก่อนเลย โฟมล้างหน้าหลอดนี้ใช้สารทำความสะอาด Sodium Myristyl Glutamate กับ Sodium Methyl Cocoyl Taurate และ Sodium Lauroyl Glutamate ที่อ่อนโยนมากทีเดียว แตกต่างกับโฟมล้างหน้าทั่วไปในท้องตลาดตรงที่ล้างแล้วไม่ทำให้ผิวแห้งตึงอย่างแน่นอน Sorbitol เป็นน้ำตาลแอลกอฮอล์ที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวได้ ใช้ Cocamide DEA และ Myristic Acid ในการเพิ่มฟองและเพิ่มความคงตัว

มีส่วนผสมของ น้ำมันจากพืชตระกูลลซิตัรสเพื่อแต่งกลิ่น แต่แทบไม่ได้กลิ่นออกมาเลยจึงคิดว่ามีอยู่ในปริมาณที่น้อยมากและไม่น่าจะก่อปัญหาอะไรกับผิวนัก ส่วนผสมของ Arbutin นั้นมีอยู่ในรูป Alpha-Arbutin ซึ่งแตกต่างกับผลิตภัณฑ์ตัวอื่นที่ใช้ Beta Arbutin จริงๆ แล้ว Alpha-Arbutin มีประสิทธิภาพที่ดีกว่า Arbutin และใช้ในความเข้มข้นที่น้อยกว่า แต่ในผลิตภัณฑืที่ใช้แล้วต้องล้างออกมันจึงไม่มีประโยชน์มากสักเท่าไหร่นัก

โดยรวมถือเป็นโฟมล้างหน้าที่อ่อนโยนและเหมาะกับทุกสภาพผิว ล้างออกได้ง่าย แต่ไม่สามารถทำความสะอาดเมคอัพ รองพื้น หรือกันแดดที่ให้คุณสมบัติกึ่งเมคอัพได้ดีนัก เหมาะที่จะใช้หลังผลิตภัณฑืทำความสะอาดเครื่องสำอางอีกต่อหนึ่งมากกว่า ราคาไม่แรงจนเกินไปและหาซื้อได้ไม่ยาก ฟองโฟมที่ได้มีปริมาณปานกลางถึงมาก แต่ว่าตัวฟองไม่ได้ละเอียดและแน่นเท่าไหร่ ส่วนเรื่องใช้โฟมล้างหน้าและจะขาวใสขึ้นหรือไม่ ปูเป้ไม่อยากจะให้คาดหวังอะไรนอกจากประสิทธิภาพในการทำความสะอาดที่อ่อนโยนจ้า

Ingredients : Water, Butylene Glycol, Sodium Myristyl Glutamate, Sorbitol, Sodium Methyl Cocoyl Taurate, Sodium Lauroyl Glutamate, Cocamide DEA, Myristic Acid, Sodium Chloride, Lauric Acid, PEG-40 Hydrogenated Castor Oil, Methylparaben, Citrus Grandis (Grapefruit) Peel Oil, Citrus Auratium Dulcis (Orange) oil, Glycerin / Angelica Archangeilica Root Extract / Morus Alba Bark Extract / Syringa Vulgaris (Lilac) Extract / Paeonia Aibiflora Root Extract / Capsicum Frutescens Fruit Extract / Bletilla Striata Root Extract / Ampelopsis Grossedentata Extract / Poria Cocos Root Extract / Atractylodes Macrocephala Root Extract, Alpha-Arbutin, Sodium Acetylated Hyaluronate. 



Hada Labo : Arbutin Whitening Lotion (170ml /495THB)
[สำหรับขนาด 100 ml 299 บาท และ 30 ml 109 บาท มีขายเฉพาะที่ Watson]

โลชั่นน้ำของญี่ปุ่นนั้น แม้จะถูกจัดเป็นขั้นตอนที่อยู่ในลำดับเดียวกับ Toner แต่โลชั่นน้ำของญี่ปุ่นนั้นไม่ได้เน้นเรื่องการทำความสะอาด (เพราะถ้าใช้ทั้งที่ล้างเครื่องสำอาง และโฟมล้างหน้าเป็น Double Cleansing มาก็ควรจะสะอาดแล้วป่ะ...) โลชั่นน้ำของญี่ปุ่นจะเน้นการบำรุง เติมความชุ่มชื้น เตรียมผิวให้พร้อมกับการใช้ Essence / Serum ในขั้นตอนต่อไป และโลชั่นน้ำตัวนี้ได้รับตำแหน่งขายดีที่สุดในญี่ปุ่นเมื่อปี 2011 ในกลุ่มไวท์เทนนิ่งโลชั่นด้วย

ส่วนประกอบไม่มีความซับซ้อนอะไรมากนัก มีเพียงน้ำ ตัวเสริมการดูดซึม ตัวให้ความชุ่มชื้น Arbutin สารก่อฟิลม์ สารกันเสีย และวิตามินอีกนิดหน่อย จากข้อมูลที่ทางแรนด์ให้มาระบุว่า Arbutin ที่ใส่ลงไปมีความเข้มข้นอยู่ที่ 3% ซึ่งก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว แต่ยังไม่ถึงระดับ 5% ที่แนะนำเอาไว้ จึงควรใช้คู่กับผลิตภัณฑ์ในขั้นตอนอื่นที่มี Arbutin เพิ่มขึ้นอีกเพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด

แม้สูตรนี้จะมี Sodium Hyaluronate แค่เพียงรูปแบบเดียว (ไม่เหมือนรุ่นสีขาวที่มีไฮยาลูรอน 3 รูปแบบ) แต่โลชั่นขวดนี้มีส่วนผสมของTremella Fuciformis Polysaccharide หรือ Tremoist™-TP จากบริษัท Nippon Fine Chemical เป็นสารสกัดโพลีแซคคาไรด์จากเห็ดหูหนูขาว โดยสารกลุ่มโพลีแซคคาไรด์เป็นตัวให้ความชุ่มชื้นที่ดีอยู่แล้ว Tremoist™-TPยังมีคุณสมบัติในการสร้างฟิลม์บนพื้นผิวที่ยืดหยุ่น แต่ไม่เหนอะหนะและคงความชุ่มชื้นบนผิวได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

เนื้อโลชั่นน้ำจะค่อนข้างเหลวและมีสีออกขาวขุ่นเล็กน้อย ปริมาณในการใช้ที่แนะนำคือประมาณเหรียญ 5 บาท แต่ในรายที่มีผิวมันหรือใช้ในตอนกลางวันอาจจะลดลงมาเหลือขนาดเหรียญ 1 บาทก็ได้ กระจายให้ทั่วฝ่ามือและประคบลงบนผิวให้ทั่วใบหน้า ลำคอ จนกระทั่งตัวผลิตภัณฑืแห้งดี ในช่วงที่ใกล้จะแห้งจะสัมผัสถึงความหนึบได้บ้าง แต่เมื่อแห้งสนิทแล้วสัมผัสเหล่านั้นจะหายไป หลังจากนั้นก็ลงบำรุงได้ตามปกติ

โดยรวมแล้วถือเป็นโลชั่นน้ำบำรุงผิวคุณภาพดี ที่ค่อนข้างที่จะปลอดภัยในการใช้ แต่เรื่องอาการแพ้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ส่วนการอุดตันนั้นขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวโดยรวมของแต่ละคนด้วยจ้า



Tip : เราสามารถนำโลชั่นน้ำแบบนี้มาใส่เม็ดมาส์ก หรือสำลีเพื่อพอกเป็นมาส์กหน้าได้บ่อยเท่าที่ต้องการ ดูวิธีการทำได้ในวีดีโอด้านบนเลยจ้า

Ingredients : Water, Dipropylene Glycol, Glycerin, Arbutin, Betaine, PPG-10 Methyl Glucose Ether, Styrene/VP Copolymer, Disodium Succinate, Methylparaben, Tremella Fuciformis Polysaccharide, Succinic Acid, Sodium Hyaluronate, Magnesium Ascorbyl Phosphate. 



Hada Labo : Arbutin Whitening Essence (30 ml / 690THB)

ตามปกติแล้ว Serum/Essence ควรจพเป็ผลิตภัณฑ์ที่มีสาร Actives ในปริมาณที่เข้มข้นที่สุด (จริงมะ?) แต่ปูเป้ก็แอบแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมเอสเซ้นซ์ขวดนี้ถึงมี ปริมาณ Arbutin อยู่ 3% เทียบเท่ากับกับโลชั่นเลยก็ไม่ทราบ

ในแง่ของการออกแบบผลิตภัณฑ์แล้วก็เป็นอีกคอนเซปต์ที่จะให้ผู้บริโภคใช้ผลิตภัณฑ์ครบขั้นตอนเพื่อให้ได้ปริมาณสาร Active ที่พอเหมาะในการหวังผลเรื่องประสิทธิภาพ แต่ความเห็นส่วนตัวก็มองว่า ถึงเอสเซ้นซ์ขวดนี้จะมีส่วนผสมที่อ่อนโยน ปลอดภัย ให้สัมผัสที่ดี แต่เมื่อเทียบราคากับปริมาณแล้ว ก็คิดว่าเราน่าจะได้ Arbutn ที่มากกว่า 3% นะ...

เนื้อเอสเซ้นซ์เป็นเจลสีขาวขุ่นจาง ๆ แห้งไปกับผิวได้อย่างไวเมื่อใช้เดี่ยว ๆ แต่เมื่อใช้หลังจาก Hada Labo : Arbutin Whitening Lotion ปริมาณที่แนะนำให้ใช้ต่อหนึ่งครั้งคือ 1 ปั้มพอดี เพราะถ้าเยอะไปก็รู้สึกหนึบผิวมากขึ้น ซึ่งเป้นสิ่งที่ผู้บริโภคชาวไทยไม่ชอบ แต่สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่เขาชอบเพราะรู้สึกว่าผิวชุ่มชื้นดี



อ้อ... Essence ที่เห็นในรูปเป็นแพคเกจแบบใหม่ล่าสุดนะครับ (คิดว่าจะเริ่มวางแผงประมาณเดือนสิงหา 2012 นี้แหล่ะ) แต่ส่วนผสมยังคงเหมือนเดิม ขอบคุณทางแบรนด์ที่ส่งมาอัพเดทให้ด้วยครับ

Ingredients : Water, Dipropylene Glycol, Glycerin, Arbutin, Triethylhexanoin, Isopropyl Myristate, PEG-20 Sorbitan Isostearate, Cetyl Alcohol, Carbomer, Triethanolamine, Glyceryl Stearate, Hydroxyethylcellulose, Methylparaben, Disodium EDTA, Magnesium Ascorbyl Phosphate.



Hada Labo : Arbutin Whitening Milk (140ml / 559 THB)

Milk หรือ Emulsion ในแบบฉบับของญี่ปุ่นทำขึ้นมาเพื่อเคลือบ เก็บกัก ซีล ให้ความชุ่มชื้นและสารบำรุงที่ทาลงไปก่อนหน้านั้นอยู่กับผิวให้นานที่สุดและซึมลงได้ลึกยิ่งขึ้น น้ำนมบำรุงผิวนี้ยังคงมีส่วนผสมของ Arbutin เช่นเคย ในความเข้มข้นที่ไม่ได้ระบุเอาไว้ (ถ้าถามข้อมูลมาได้จะมาอัพเดทกันอีกที) แม้เนื้อน้ำนมจะมีความเหลวแต่คุณสมบัติในการเคลือบผิวและให้ความชุ่มชื้นก็ไม่ได้น้อยเลย ถ้าใช้มากไปอาจทำให้รู้สึกหนึบหนับเกินไปเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นปูเป้มักจะแนะนำให้ใช้ Milk อันนี้ในตอนกลางคืนสำหรับคนผิวธรรมดาถึงผิวมัน ส่วนผิวแห้งจะใช้ตอนกลางวันด้วยก็ได้

ปริมาณที่แนะนำให้ใช้คือประมาณ 1 เหรียญบาท ทาได้ทั่วใบหน้าและลำคอ ผู้ที่มีผิวแห้งสามารถเพิ่มปริมาณในการใช้ได้ตามต้องการจ้า

Tip : ถ้าจะลงทุนสักหน่อย สามารถใช้ Hada Labo : Arbutin Whitening Lotion คู่กับ Hada Labo : Arbutin Whitening Milk ทาผิวกายในส่วนที่หมองคล้ำหรือส่วนที่อยู่นอกเสื้อผ้าในตอนกลางคืน และใช้กันแดดในตอนกลางวันเป็นประจำ สีผิวจะสม่ำเสมอขึ้นในประมาณ 1 - 2 เดือน และผิวจะนุ่ม ชุ่มชื้นขึ้นมาก ๆ ล่ะ

Ingredients : Water, Dipropylene Glycol, Triethylhexanoin, Isopropyl Palmitate, Arbutin, Glycerin, Glyceryl Stearate, Pentylene Glycol, PEG-20 Sorbitan Isostearate, Limnanthes Alba (Meadowfoam) Seed Oil, Cetyl Alcohol, Methylparaben, Hydroxyethylcellulose, Xanthan Gum, Carbomer, Disodium EDTA, Triethanolamine, Sodium Hyaluronate, Magnesium Ascorbyl Phosphate.



Hada Labo : Arbutin Whitening Mask (20ml per 1 Sheet / 

มาส์กอันนี้ยังไม่วางจำหน่ายในไทย แต่ไปสอยมาตั้งแต่ตอนไปเที่ยวมาเลย์เมื่อปลายปีก่อน ขอบอกว่าใช้ดีอยู่นะ ส่วนผสมเบสิคมาก เพราะไม่มีอะไรมากไปกว่า น้ำ + ตัวเสริมการดูดซึม + Arbutin + ตัวให้ความชุ่มชื้น + ตัวก่อเนื้อเจลนิดหน่อย และสารกันเสีย มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ไม่มาก ซึ่งทำให้เนื้อสัมผัสของมาส์กไม่เหนอะหนะผิว

แนะนำให้ใช้มาศืกในตอนกลางคืนหลังจากทำความสะอาดผิวหน้าเสร็จ พอกไว้ประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นก็ลอกมาสืกออก ใช้มือประคบผิวให้ซึบลงผิวจนหมด ตามด้วยการลงเอสเซ้นซ์หรือ Milk แล้วก็เข้านอนได้เลย ตัวแผ่นมาส์กที่ลอกออกมายังเอามาเช็ดผิวบริเวณคอและลำตัวเพื่อความคุ้มค่าได้อีกต่อด้วย

แผ่นหนึ่งเฉลี่ยมาแล้วไม่ถึง 100 บาท สามารถใช้ได้บ่อยเท่าที่ต้องการอีกด้วย อันนี้เราชอบมากเลย อยากให้วางขายในไทยเร็ว ๆ จัง

Ingredients : Water, Butylene Glycol, Arbutin, Diglycerin, Alcohol, Disodium Succinate, PEG-40 Hydrogenated Castor Oil, Xanthan Gum, Styrene/VP Copolymer, Methylparaben, Ethylparaben, Succinic Acid, Magnesium Ascorbyl Phosphate.



โดยรวมแล้ว Hada Labo : Arbutin Whitening เป็นชุดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงได้ เหมาะกับทุกสภาพผิว เพียงแต่การจะหวังผลเรื่องการเป็นไวท์เทนนิ่งนั้นจะต้องใช้ผลิตภัณฑ์อย่างบต่ำ 2 ชิ้นขึ้นไปเพื่อให้ได้ปริมาณ Arbutin ที่เหมาะสมพอที่จะเห็นผลได้ชัดขึ้น (Lotion + Essence หรือ Essence + Milk หรือ Lotion + Milk ก็ได้)

เนื้อผลิตภัณฑ์และความรู้สึกหลังใช้อาจจะขัดใจผู้ใช้ชาวไทยบางส่วนที่นิยมอะไรก็ตามที่ทาแล้วแห้งสนิทหายวับไปกับตา แต่ก็อย่าลืมว่าผลิตภัณฑ์เหล้านั้นอาจให้ความชุ่มชื้นได้ไม่มากพอเช่นกัน สำหรับใครที่กังวลเรื่องความหนึบของผลิตภัณฑ์ ปูเป้คงจะแนะนำให้ใช้ชุดนี้ในตอนกลางคืนมากกว่า เพราะในตอนกลางคืนเราไม่ต้องแต่งหน้า และส่วนใหญ่ก็นอนในห้องแอร์กัน ซึ่งเป็นช่วงที่เราต้องเน้นเติมความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ

สำหรับคำถามว่า "จะแพ้มั้ย" "ใช้แล้วอุดตันรึเปล่า?" เป็นคำตอบที่ปูเป้บอกไม่ได้ครับ อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ คน สำหรับการอุดตันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวโดยรวมของแต่ละคนเอง นอกจากนี้คนเรายังไวต่อการอุดตันของสารแต่ละตัวไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม ควรทดสอบและทดลองใช้ก่อนทุกครั้ง

ข้อดี

- มีส่วนผสมที่อ่อนโยน ค่อนข้างปลอดภัยที่จะใช้ แม้ผิว Sensitive
- ให้ความชุ่มชื้นสูง ผิวไม่แห้ง ไม่ระคายเคือง
- เมื่อใช้ผลิตภัณฑืสองชิ้นขึ้นในไปในกลุ่มบำรุงผิว ก็จะได้ Arbutin ในปริมาณที่หวังผลได้
- ราคาไม่แพง หาซื้อได้ง่าย
- ใช้ได้กับเกือบทุกสภาพผิว 

บทความจาก http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=pupesosweet&month=23-07-2012&group=9&gblog=54

1